ฟิลเลอร์ คืออะไร ฉีดตรงไหนได้บ้าง
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการเสริมความงามโดยไม่ต้องผ่าตัด (Non-Surgical Cosmetic) ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน การฉีดฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มริ้วรอย และปรับรูปหน้าได้ แต่ว่าบางคนฉีดแล้วกลับไม่ชอบ เลยรู้สึกว่าฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่เห็นผล ไม่เข้ากับใบหน้าตัวเอง ซึ่งอาจเป็นเพราะเลือกตำแหน่งฉีดไม่ถูกหรือฉีดกับบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ผู้ชำนาญการ ดังนั้น บทความนี้จึงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักว่าจริงๆ แล้วฟิลเลอร์คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง ฉีดตรงไหนดี รวมถึงวิธีดูว่าฟิลเลอร์ที่จะฉีดเป็นฟิลเลอร์แท้หรือปลอม
ฟิลเลอร์ คืออะไร
ฟิลเลอร์ คือ สารที่ใช้ฉีดเติมเต็มเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อทดแทนส่วนที่สูญเสียไปตามธรรมชาติเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น โดยฟิลเลอร์ที่ได้รับมาตรฐานอย. ไทยในปัจจุบัน คือ ฟิลเลอร์ประเภทชั่วคราวในรูปแบบสารไฮยาลูโรนิคแอซิด (HA) สารดังกล่าวเป็นสารที่เลียนแบบสารธรรมชาติที่อยู่ใต้ชั้นผิว จึงช่วยแก้ไขปัญหาผิวได้ ไม่ว่าจะเป็นการเติมเต็มร่องริ้วรอย ช่วยให้ผิวเต่งตึง กระชับ เปล่งปลั่ง ไม่หย่อนคล้อย ให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
ฟิลเลอร์แบ่งได้กี่ประเภท
ปัจจุบันสารเติมเต็มผิวที่เรียกว่า ฟิลเลอร์ มีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่
1. ฟิลเลอร์แบบชั่วคราว (Temporary Filler)
ฟิลเลอร์ประเภทนี้ คือ สารเติมเต็มผิวที่เรียกว่า Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติบนผิวของคนเรา ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง แต่การผลิตไฮยาลูโรนิคแอซิดจะลดลงเมื่อเรามีอายุมากขึ้น การฉีดฟิลเลอร์ประเภทนี้จึงเป็นการเติมเต็มไฮยาลูโรนิคแอซิดเพื่อทดแทน ซึ่งเป็นการฉีดแบบชั่วคราวเท่านั้น เพราะสารไฮยาลูโรนิคแอซิดสามารถสลายได้ โดยให้ผลลัพธ์อยู่ที่ 4-24 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่น และยี่ห้อของฟิลเลอร์
2. ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร (Semi-Permanent Filler)
ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร เป็นสารเติมเต็มที่ไม่สามารถสลายหมดได้ตามธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในระยะยาวตามมาได้ โดยฟิลเลอร์ประเภทนี้มี 2 ชนิด ได้แก่
Poly-L-lactic acid (PLLA)
Poly-L-lactic acid (PLLA) เป็นสารที่ช่วยให้ร่างกายผลิตคอลลาเจน และมีส่วนช่วยในการจัดการปัญหาริ้วรอยลึกได้ การใช้สารเติมเต็มชนิดนี้จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะคงอยู่ประมาณ 2 ปี หรือมากกว่านั้น
Calcium hydroxylapatite (CaHA)
Calcium hydroxylapatite (CaHA) เป็นประเภทฟิลเลอร์ที่สามารถพบได้ในกระดูกของคนเรา จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร สามารถสลายตัวได้เองเพียงบางส่วน ทำให้บางส่วนสามารถตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิวได้ ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ชนิดนี้จะอยู่ได้ราวๆ 1 ปี
3. ฟิลเลอร์แบบถาวร (Permanent Filler)
ฟิลเลอร์ประเภทถาวร คือ ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ ทำให้ผิวไม่สามารถดูดซึมสารได้ ก่อให้เกิดสารตกค้างที่อาจส่งผลต่อผิวในระยะยาวได้ และที่สำคัญคือยังไม่ผ่าน อย. ไทย ฟิลเลอร์ประเภทนี้มักมีสารเติมเต็มจำพวก Polymethymethacrylate (PMMA) ซิลิโคน และพาราฟิน
ฟิลเลอร์ช่วยอะไรบ้าง
อย่างที่ทราบกันว่าเมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนในผิวจะลดลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่ยืดหยุ่นสดใสเหมือนแต่ก่อน มาดูกันว่าฟิลเลอร์ นั้นจะช่วยแก้ปัญหาผิวของคุณได้อย่างไรบ้าง
- เพิ่ม volume ให้ผิว – ด้วยคุณสมบัติอุ้มน้ำของฟิลเลอร์มีส่วนช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ผิวดูเรียบเนียน ดูเปล่งปลั่ง เต่งตึงขึ้น แลดูอ่อนเยาว์
- ลดริ้วรอย – ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย และยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคตได้อีกด้วย
- ช่วยแก้ไขรูปหน้า – ฟิลเลอร์สามารถปรับรูปหน้าให้มีความสมบูรณ์แบบ และสมส่วนมากยิ่งขึ้นได้ โดยอาจฉีดตามขมับ หน้าผาก หรือคาง
- ทำให้ริมฝีปากและแก้มดูอวบอิ่ม – ใครที่อยากมีริมฝีปากที่ดูอวบอิ่ม และลดความหย่อนคล้อยหรือความตอบของแก้ม ฟิลเลอร์จะช่วยให้บริเวณดังกล่าวดูเติมเต็ม อิ่มฟูได้
ฟิลเลอร์ฉีดตรงไหนได้บ้าง
ฟิลเลอร์ช่วยแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้าได้ตามความต้องการ โดยจะต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อพิจารณาและวางแผนร่วมกับคนไข้ ซึ่งบริเวณที่นิยมและสามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ มีดังนี้
บริเวณหน้าผาก
คนที่มีปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ การฉีดฟิลเลอร์บริเวณนี้ช่วยให้ใบหน้าดูอิ่ม รวมถึงสามารถช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยบนหน้าผากได้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้คือ 3-5 cc
บริเวณขมับ
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณขมับ เหมาะมากสำหรับคนที่มีปัญหาขมับตอบ หรือขมับยุบ เมื่อฉีดฟิลเลอร์แล้วจะช่วยให้ใบหน้าดูเต็มอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้คือ 2-4 cc
บริเวณใต้ตา
ฟิลเลอร์ใต้ตานิยมฉีดเพื่อแก้ไขความหมองคล้ำและลดริ้วรอย โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้คือ 2-4 cc
บริเวณร่องแก้ม
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณนี้เหมาะกับคนที่มีปัญหาร่องแก้มลึก ซึ่งทำให้ดูมีอายุและดูแก่ก่อนวัยได้ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้คือ 2-4 cc
บริเวณจมูก
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณจมูก มีส่วนช่วยทำให้จมูกได้รูปสวย แก้ปัญหาจมูกเบี้ยว และทำให้จมูกโด่งขึ้น ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้คือ 1-2 cc
บริเวณปาก
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณริมฝีปากช่วยทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มขึ้นมาได้ เหมาะกับคนที่มีริมฝีปากบางและอยากเพิ่มมิติให้ปากดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้คือ 1-2 cc
บริเวณคาง
การฉีดฟิลเลอร์บริเวณคางจะเหมาะกับคนที่อยากปรับรูปหน้าให้สมส่วน ให้คางดูเรียวยาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้คือ 1-3 cc
“ฟิลเลอร์” เติมเต็มใบหน้า เพื่อความสวยทุกมิติ
“Belotero” ฟิลเลอร์ตัวท็อปจากสวิตเซอร์แลนด์
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง ?
ควรรู้อะไรบ้างก่อนฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
13 เรื่องน่ารู้ฉีดก่อนฟิลเลอร์ร่องแก้ม แก้ไขริ้วรอยร่องแก้มได้ทุกกรณีจริงหรือเปล่า ?
ฟิลเลอร์ Biohyalux คืออะไร ดีไหม ?
สูตรลับหน้าเด็ก ! ด้วยโบท็อกซ์
โบท็อกซ์คืออะไร ช่วยเรื่องผิวหน้าได้อย่างไร ? ดูแลยังไงถึงจะเห็นผลยาวนาน ?
รู้จักโบท็อกซ์ Nabota กล่องดำกับกล่องแดงต่างกันอย่างไร ?
ขั้นตอนการทำ Ulthera และวิธีเตรียมตัวก่อนทำ Ulthera
Ultraformer iii กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร ดีไหม ?
Juve Look เติมเต็มความชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำล้ำลึก !
SCULPTRA คือ อะไร ? ช่วยเรื่องอะไร ?
JUVELOOK คืออะไร มาทำความรู้จัก KOREA SKIN ที่มาแรง !!!