ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร? ช่วยเรื่องใด

ฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร? ช่วยเรื่องใด

ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นการรักษาทางด้านความงาม โดยการฉีดเพื่อลดริ้วรอย แก้ไขปัญหาบนใบหน้า ร่องแก้ม รวมไปถึงฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ผิวหน้าเรียบ อิ่มฟู เต่งตึงขึ้น หรือฉีดบริเวณปากเพื่อให้ริมฝีปากอวบอิ่มขึ้น 
ในบทความนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ว่า ฟิลเลอร์คืออะไร มีกี่ประเภท บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง ฟิลเลอร์ราคาเท่าไรต่อ CC ฟิลเลอร์ควรฉีดเท่าไรถึงจะพอดี ขั้นตอนการปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ 

  • การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คือ การฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่ผิวหน้าบริเวณต่าง ๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึกบริเวณใบหน้าให้ดูเรียบเนียน ผิวดูชุ่มชื้น และเต่งตึงขึ้น
  • บริเวณที่มักได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขผิวและปรับรูปหน้า จะได้แก่บริเวณใต้ตา, ปาก, คาง, ร่องแก้ม, จมูก, ขมับ และหน้าผาก

ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหน้าบริเวณต่าง ๆ เช่น ปาก, ใต้ตา, ร่องแก้ม, หน้าผาก, ขมับ เป็นต้น เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยและร่องลึกบริเวณใบหน้าให้ผิวดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น และเต่งตึงขึ้น รวมไปถึงการฉีดฟิลเลอร์ยังช่วยยกกระชับใบหน้า ปรับรูปหน้าให้ดูได้สัดส่วนมากขึ้น

โดยฟิลเลอร์ที่ใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น (Hydration) และทดแทนคอลลาเจน รวมไปถึงไฮยาลูรอนที่ร่างกายสูญเสียไปเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น การฉีดสาร Hyaluronic Acid เข้าสู่ผิวจึงช่วยเติมเต็มชั้นผิวหนังให้มีความยืดหยุ่น เต่งตึง เรียบเนียน ดูสุขภาพดี รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ 

ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการประเมินปัญหาผิว หรือปัญหาที่ต้องการแก้ไขก่อนการฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมตามแต่ละบุคคล รวมถึงแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นฟิลเลอร์ที่ควรใช้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น Botox,  Ulthera และ Ultraformer III เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์เพื่ออะไร?

ฉีดฟิลเลอร์ช่วยอะไรบ้าง ฉีดฟิลเลอร์เพื่ออะไร? ตามธรรมชาติแล้วผิวของคนเราจะค่อย ๆ เสื่อมสภาพตามอายุที่มากขึ้น และปัญหาผิวจะเริ่มตามมา ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย, ร่องลึก, หน้าตอบ, แก้มตอบ หรือริ้วรอยใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ที่เป็นสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid จะช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามวัย ช่วยเติมเต็มร่องลึกตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้า ชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต เพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นให้กับผิว
นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถปรับรูปหน้าให้ดูสมมาตร ดูมีสัดส่วนขึ้น เป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังสามารถฉีดฟิลเลอร์มือ เพื่อแก้ปัญหามือแห้ง มือเหี่ยวย่นได้อีกด้วย

“หากฟิลเลอร์สลายหมดจะไม่ทำให้หน้าแก่ลง การฉีดฟิลเลอร์จะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้น คอลลาเจนและอิลาสตินก็จะถูกสร้างขึ้นด้วย หลังฟิลเลอร์สลายหมดผิวก็จะดูสุขภาพดีกว่าตอนยังไม่ได้ฉีดฟิลเลอร์ เพราะคอลลาเจนและอิลาสตินยังคงอยู่ในร่างกาย”

สารเติมเต็มในฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง?

Hyaluronic Acid

สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) จัดอยู่ในกลุ่มสารฟิลเลอร์แบบชั่วคราว ร่างกายสามารถย่อยสลายเองได้ ซึ่งสารชนิดนี้จะจับตัวกับน้ำและพองขึ้นเป็นเจล มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง ดูชุ่มชื้น โดยสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid จะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-24 เดือน และเป็นฟิลเลอร์ชนิดเดียวที่ผ่านอย. ไทย
ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid มีอยู่ในฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ เช่น Juvederm, Restylane, Belotero, Neuramis, Yvoire เป็นต้น
สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับ Hyaluronic Acid สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ : ไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) สารเติมเต็มที่ช่วยให้ผิวอิ่มฟูได้จริงไหม?

Poly-L-lactic acid (PLLA)

สารเติมเต็ม Poly-L-lactic Acid หรือ PLLA เป็นสารเติมเต็มที่อยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ แต่ไม่สามารถย่อยได้หมด 100% สารเติมเต็ม PLLA อยู่ได้นาน 2-5 ปี สารชนิดนี้ถูกใช้ในการแพทย์ เช่น ไหมละลาย ตะปูเกลียวยึดกระดูก เป็นต้น

Calcium Hydroxyapatite

สารเติมเต็ม Calcium Hydroxyapatite หรือ สารแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ จัดอยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร สามารถละลายได้บางส่วนแต่ก็ยังมีตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิว หากปล่อยทิ้งไว้นานหลายปีอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ต้องทำการผ่าตัดขูดออกเท่านั้น นอกจากนี้ สารเติมเต็มชนิดนี้ยังมักนำมาใช้ในการเติมหน้าอกและสะโพกอีกด้วย

Polyalkylimide

สารเติมเต็ม Polyalkylimide หรือพลาสติกสังเคราะห์ เป็นสารเติมเต็มที่อยู่ในกลุ่มฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร มักใช้สำหรับรอยย่นลึก เช่น ร่องจมูกหรือรอยแผลเป็น สามารถย่อยสลายได้บางส่วน แต่ก็ยังมีสารตกค้างอยู่ใต้ชั้นผิว หากต้องการนำฟิลเลอร์ออกต้องทำการขูดออกเท่านั้น ไม่สามารถฉีดยาสลายฟิลเลอร์ได้

Polymethyl-methacrylate microspheres (PMMA)

สารเติมเต็มโพลีเมธิลเมธาไครเลต (PMMA) หรือ พลาสติกสังเคราะห์ เป็นฟิลเลอร์แบบถาวร ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ มีลักษณะเป็นเม็ดกลมเรียบ ขนาดเล็กมาก สาร PMMA นี้ยังเป็นวัสดุสำหรับผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens : IOL) หรือ Bone Cement เป็นต้น

คุณสมบัติต่างๆ ของฟิลเลอร์

  • ความแข็ง (Elasticity)

ฟิลเลอร์ที่มีค่าความแข็งสูงจะเหมาะกับการฉีดเพื่อปรับโครงหน้าในชั้นกระดูก ฉีดยกผิวชั้นลึก มีความทนต่อแรงกดในแนวตั้ง จึงเหมาะแก่การฉีดบริเวณคาง จมูก หรือฉีดเพื่อดึงหน้า ปรับโครงหน้าเป็นต้น

  • ความยืดหยุ่น (Resilient)

ฟิลเลอร์ที่มีค่าความยืดหยุ่นสูงจะทนต่อการขยับ ทนต่อแรงบิดในแนวนอน จึงเหมาะแก่การฉีดผิวบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ เช่น มุมปาก ร่องแก้ม แก้มตอบ

  • ความกระจายตัว (Tissue Integration)

ฟิลเลอร์ที่มีความกระจายตัวจะเหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง ผิวบาง เพื่อให้ฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วมีความเรียบเนียนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน

  • ค่าอุ้มน้ำ (Water Holding)

ฟิลเลอร์ที่มีค่าอุ้มน้ำสูง เมื่อฉีดไปแล้วจะฟูมาก จึงเหมาะกับฉีดบริเวณร่องแก้ม ขมับ ไม่เหมาะกับการฉีดใต้ตา เพราะจะเห็นความบวมได้ชัดเจน

  • จำนวนการเชื่อมพันธะ (Crosslink)

ฟิลเลอร์ที่มีจำนวนพันธะเยอะจะอยู่ได้นานขึ้น สลายได้ช้าลง และอุ้มน้ำน้อยลง ฟูน้อยลง มีค่ากระจายตัวปานกลาง ทนต่อแรงบิดแนวนอนได้ดี จึงเหมาะแก่การฉีดบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เด่นด้านเทคโนโลยี Crosslink คือ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm

  • ขนาดเม็ดของฟิลเลอร์ (Particle size)

ฟิลเลอร์ที่มีขนาดเม็ดฟิลเลอร์ใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้น และมีค่าความแข็งสูง การกระจายตัวต่ำ แต่จะไม่ทนต่อแรงบิดในแนวนอน หากฉีดในตำแหน่งที่มีการขยับบ่อย ๆ จะอยู่ได้ไม่นาน ฟิลเลอร์ที่มีขนาดเม็ดใหญ่จึงเหมาะกับการยกหน้าในผิวชั้นลึกได้ดีที่สุด โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ Restylane จะโดดเด่นในเทคโนโลยีด้านนี้ เรียกว่า เทคโนโลยี NASHA เนื่องจากใช้การขดเส้นใยของ HA ร่วมกับการใส่ Crosslink ทำให้ฟิลเลอร์เป็นเม็ดละเอียด เนื้อฟิลเลอร์จึงมีค่าความแข็งสูง เหมาะกับการยกพยุงผิว

เนื้อฟิลเลอร์มีกี่แบบ

เนื้อฟิลเลอร์โดยทั่วไปแล้วจะมีลักษณะแตกต่างกันไป เนื่องจากฟิลเลอร์แต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อมีเทคโนโลยีการผลิตที่ไม่เหมือนกัน จึงทำให้คุณสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน โดยเนื้อฟิลเลอร์จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  1. ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง

    ฟิลเลอร์เนื้อแข็งจะมีลักษณะเนื้อเจลเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่าฟิลเลอร์เนื้อชนิดอื่น ๆ เมื่อบีบออกมาแล้วสามารถเห็นเป็นเส้น จึงทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็งแรง คงตัวได้ดี สามารถใช้ยกผิวในชั้นกระดูกได้

ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เช่น Juvederm , Restylane , Belotero 

  1. ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม

    ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มจะมีลักษณะเป็นเนื้อเจลคล้ายเยลลี่ เนื้อนุ่ม ไม่เป็นก้อน เนื้อไม่เหลว และไม่เป็นน้ำเหมือนฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มเหมาะสำหรับฉีดในชั้นไขมัน

ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เช่น Juvederm Ultra Plus, Restylane Classic, Belotero Balance

  1. ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด

    ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะมีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความบางเบาคล้ายน้ำ เนื้อเหลวมากกว่าฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เหมาะสำหรับฉีดในผิวชั้นตื้น และเหมาะกับการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ โดยการฉีดฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้

ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เช่น ฟิลเลอร์ Juverderm Volite, Restylane Vital Light, Belotero soft

บริเวณที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้

บริเวณไหนที่ฉีดฟิลเลอร์ได้? ฟิลเลอร์เหมาะกับการฉีดบนใบหน้า โดยจุดที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ คือ บริเวณใต้ตา, ปาก, คาง, ร่องแก้ม, จมูก, ขมับ และหน้าผาก
ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเห็นผล? หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลได้ทันที และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังจากผ่านไป 7-14 วัน การฉีดฟิลเลอร์มีข้อดีคือ ฟิลเลอร์ที่เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid จะสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างภายในร่างกาย

ฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยใต้ตา, ตาลึก, ตาโหล, ถุงใต้ตา และขอบตาดำ ให้กลับมาสดใส ผิวใต้ตาดูอ่อนเยาว์ ชุ่มชื้น และเต่งตึงมากขึ้น รวมไปถึงฉีดฟิลเลอร์ยังแก้ปัญหาใต้ตายุบตัวของกระดูกและเนื้ออีกด้วย
สำหรับการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้การเติมฟิลเลอร์ใต้ตากี่ cc นั้น ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาของแต่ละบุคคล ก่อนการเข้ารับหัตถการควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินปัญหาก่อน และหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถเห็นผลได้ทันที
โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ รุ่นของฟิลเลอร์ และการดูแลตัวเองหลังฉีด อีกทั้งยังควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น เพราะผิวใต้ตาเป็นบริเวณที่ละเอียดอ่อนมาก หากแพทย์ขาดความชำนาญ อาจทำให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วตาบอดได้

ฟิลเลอร์ปาก

การฉีดฟิลเลอร์ปากจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยที่ริมฝีปาก, ริมฝีปากบาง, ขอบปากคล้ำ, ปากแห้ง, ตกร่อง รวมถึงมุมปากตก ฟิลเลอร์ปากจึงช่วยเติมเต็มร่องปากให้ดูชุ่มชื้น อวบอิ่ม ไม่แห้ง และตกร่อง รวมไปถึงการฉีดฟิลเลอร์ปาก ยังสามารถปรับขนาดโครงสร้างปากให้เป็นรูปทรงที่สวยงามได้
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปากจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะเห็นผลทันที โดยทั่วไปฟิลเลอร์จะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และการดูแลตัวเองหลังฉีด

ฟิลเลอร์คาง

การฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยแก้ปัญหาคางสั้น, คางเบี้ยว, คางไม่เท่ากัน, คางตัด รวมไปถึงฉีดฟิลเลอร์คางจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมมาตรขึ้น ได้สัดส่วนมากขึ้น ดูเรียวสวย โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์คาง จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยฟิลเลอร์คางอยู่ได้แค่ 1-2 ปี ต่อการฉีด 1 ครั้ง หากไม่มีการมาเติมฟิลเลอร์ เนื้อฟิลเลอร์ก็จะสลายไปเองตามธรรมชาติ

ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้มจะช่วยแก้ปัญหาการยุบตัวของกระดูกบริเวณใต้ตา และการยุบตัวของกระดูกบริเวณร่องแก้มที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น และยังช่วยแก้ปัญหาร่องแก้มลึกโดยไม่ต้องผ่าตัด รวมถึงแก้ปัญหาผิวแห้ง ชั้นผิวบางลง หลังทำสามารถเห็นผลได้ทันที
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 2 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล โดยฟิลเลอร์ร่องแก้มจะอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน แล้วแต่ยี่ห้อและรุ่นที่เลือก

ฟิลเลอร์จมูก

การฉีดฟิลเลอร์จมูกจะช่วยเพิ่มความคมของสันจมูกหรือปลายจมูกขึ้นเล็กน้อย สำหรับการฉีดฟิลเลอร์จมูก จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1 cc สามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน
การฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกเป็นบริเวณที่ต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญการของแพทย์ เนื่องจากมีเส้นเลือดสำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งฟิลเลอร์จมูกยังไม่เหมาะกับคนที่วางแผนจะเสริมจมูกในอนาคต เพราะอาจเกิดปัญหาการยึดเกาะของแท่งซิลิโคนได้ หากฉีดฟิลเลอร์จมูกไปแล้วอยากผ่าตัดเสริมจมูก จะต้องขูดฟิลเลอร์ที่กระดูกจมูกตามแนวที่วางซิลิโคนออกก่อนเพื่อให้ซิลิโคนยึดเกาะจมูกได้ดีมากขึ้น

ฟิลเลอร์ขมับ

การฉีดฟิลเลอร์ขมับจะช่วยปรับใบหน้าโดยรวมให้ดูสมดุล ได้สัดส่วนมากขึ้น ช่วยเติมเต็มบริเวณขมับตอบ ขมับลึก โดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ขมับยังช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยหางตาให้เต่งตึงขึ้น ชุ่มชื้นขึ้นได้อีกด้วย
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ขมับจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ตามปัญหาของแต่ละบุคคล โดยฟิลเลอร์ขมับจะอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือก

ฟิลเลอร์หน้าผาก

การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยแก้ปัญหาหน้าผากแบน หน้าผากยุบ มีร่องลึก รอยบุ๋มที่หน้าผาก ให้นูนขึ้น ฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยย่นที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจมีอาการบวมได้เป็นปกติ แต่จะหายไปเองเมื่อผ่านไปประมาณ 7-14 วัน และฟิลเลอร์หน้าผากสามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือกใช้

ยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ผ่าน อย. (อัปเดตปีล่าสุด)

ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นมีเทคโนโลยี และคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกัน จึงเหมาะแก่การฉีดในจุดที่แตกต่างกัน โดยฟิลเลอร์ที่ผ่านอย. ในประเทศไทยจะต้องเป็นชนิด Hyaluronic acid เท่านั้น

Juvederm

ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นฟิลเลอร์จากประเทศอเมริกา ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่เนื้อฟิลเลอร์สามารถอุ้มน้ำได้ดี มีความยืดหยุ่นสูง ทนต่อการขยับของผิวหน้าได้ดี มีอัตราการบวมน้ำน้อย ส่งผลให้ผลลัพธ์หลังฉีด ผิวมีความเรียบเนียน ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน อีกทั้งยังมีส่วนผสมของยาชา (Lidocaine) ช่วยให้ลดความเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm ที่ได้รับอย. มีทั้งหมด 7 รุ่น ดังนี้

  • Juvederm Ultra Plus XC อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
  • Juvederm Ultra XC อยู่ได้นาน 12 เดือน
  • Juvederm Voluma อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
  • Juvederm Volift อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
  • Juvederm Volite อยู่ได้นานถึง 9-12 เดือน
  • Juvederm Volbella อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
  • Juvederm Volux อยู่ได้ประมาณ 18-24 เดือน

Restylane

ฟิลเลอร์ Restylane เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวีเดน ที่ช่วยเติมเต็มใบหน้าที่เกิดริ้วรอย มีร่องลึกให้เต็มขึ้นและดูเรียบเนียน และให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ อยู่ได้ยาวนาน นอกจากนี้ ยังเหมาะกับการแก้ปัญหาริมฝีปากโดยเฉพาะ เพราะเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด แต่มีความคงตัวสูง สามารถช่วยสร้างริมฝีปากให้อวบอิ่ม ชัดเจนขึ้น และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นอีกด้วย
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ที่ได้รับอย. มีทั้งหมด 8 รุ่น ดังนี้

  • Restylane Perlane Lyft อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน 
  • Restylane Classic Lidocaine อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
  • Restylane Vital Light อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
  • Restylane Vital อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
  • Restylane Refyne อยู่ได้ประมาณ 8-12 เดือน
  • Restylane Volyme อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
  • Restylane Defyne อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน

Restylane Kysse อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน

Neuramis

ฟิลเลอร์ Neuramis เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลี ที่สามารถแก้ปัญหาบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้าได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับ เติมเต็ม และปรับรูปหน้า
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis มีทั้งหมด 3 รุ่น ที่ผ่านอย. ดังนี้ 

  • Neuramis Deep อยู่ได้นาน 12 เดือน 
  • Neuramis Deep Lidocaine อยู่ได้นาน 12 เดือน 
  • Neuramis Volume Lidocaine อยู่ได้นานสูงสุดถึง 2 ปี

Belotero

ฟิลเลอร์ Belotero เป็นฟิลเลอร์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีความคงตัวมาก สามารถใช้ฉีดเสริมกระดูกและเนื้อเยื่อผิวหนังที่ยุบตัวลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้นได้ 
ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero ที่ได้รับอย. มีทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน ดังนี้

  • Belotero Volume อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
  • Belotero Intense อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
  • Belotero Balance อยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน
  • Belotero Soft อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน

e.p.t.q.

ฟิลเลอร์ e.p.t.q. (Epitique) เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลีที่ใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยร่องลึก รอยพับบนใบหน้า และช่วยบรรเทาความเจ็บขณะฉีด มีความปลอดภัยสูง ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการแพ้ได้
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ e.p.t.q. ที่ผ่านอย. มีทั้งหมดด้วยกัน 3 รุ่น ดังนี้

  • e.p.t.q. S100 อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
  • e.p.t.q. S300 อยู่ได้ประมาณ 8 เดือน
  • e.p.t.q. S500 อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน

YVOIRE

ฟิลเลอร์ YVOIRE เป็นฟิลเลอร์จากประเทศเกาหลีที่มีความยืดหยุ่นสูง ดูเป็นธรรมชาติ สามารถยึดเกาะได้อย่างดี มีความคงทน ไม่สลายตัวง่าย และช่วยยกกระชับผิว
ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ยี่ห้อ YVOIRE ที่ผ่านอย. ในประเทศไทยมีทั้งหมด 3 รุ่น ดังนี้

  • YVOIRE Classic Plus อยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน
  • YVOIRE Volume Plus อยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน
  • YVOIRE Contour อยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี

ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี? ก่อนฉีดฟิลเลอร์เราควรศึกษาข้อมูลสถานพยาบาลหรือคลินิกฉีดฟิลเลอร์ ดังนี้

  1. ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ
     
  2. ควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ใช้ฟิลเลอร์แท้ สะอาด ปลอดภัย มีเครื่องมือและอุปกรณ์ฉุกเฉินในกรณีที่เกิดปัญหา เช่น การแพ้ยา เป็นต้น
     
  3. ควรเลือกแพทย์ประจำคลินิกที่มีใบรองรับมาตรฐานจากแพทยสภา สามารถเช็กประวัติแพทย์ได้ และควรเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและศัลยกรรมความงาม
     
  4. ควรเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่มีการติดตามผล และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวก่อนและหลังทำอย่างใกล้ชิด สามารถปรึกษาแพทย์ที่ทำเคสได้
     
  5. มีการแสดงอัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าหัตถการต่าง ๆ รวมไปถึงราคาฟิลเลอร์ และสามารถสอบถามอัตราค่ารักษาได้

ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ควรเลือกอย่างไร

การเลือกฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี รุ่นไหนดีที่สุด ควรเลือกจากสภาพผิว และจุดที่ต้องการปรับแก้ไข หรือเติมเต็มจากใบหน้าของตนเอง เพราะฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นเหมาะกับการฉีดในจุดที่แตกต่างกัน และที่สำคัญควรเลือกฟิลเลอร์ของแท้ ไม่ควรใช้ของเลียนแบบหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
ในอีกกรณีหนึ่ง แพทย์จะเป็นผู้แนะนำว่าผิวของเราเหมาะกับฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเรา และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์

การปฏิบัติตัวก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรศึกษาข้อมูลที่จำเป็น เช่น การเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย การเลือกหมอประจำคลินิก รวมไปถึงสังเกตฟิลเลอร์แท้ของแต่ละยี่ห้อ ไม่เลือกใช้ฟิลเลอร์ปลอม
ข้อควรปฏิบัติตัว 1 อาทิตย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์ 

  1. งดยาแอสไพริน NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Ponstan
  2. งดวิตามิน St. Johns Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng, และ Vitamin E เพราะสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างฉีดฟิลเลอร์ อาจเสี่ยงต่ออาการช้ำหลังฉีด
  3. งดสกินแคร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว เช่น Retinoids, Retinol, Glycolic Acid ประมาณ 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์บริเวณต่าง ๆ
  4. งดการผลัดเซลล์ผิว การโกนขน ในบริเวณก่อนการทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์
  5. หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่รับประทานอื่น ๆ ควรเตรียมข้อมูลเพื่อแจ้งกับแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
  6. หากมีคอร์สหัตถการเกี่ยวกับใบหน้า เช่น นวดหน้า เลเซอร์ต่าง ๆ ควรทำมาก่อนการฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 3 วัน

ข้อควรปฏิบัติตัว 24 ชั่วโมง ก่อนฉีดฟิลเลอร์

  1. ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง ก่อนทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์
  2. ควรงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ออกกำลังกายอย่างหนัก การเข้าห้องซาวน่า เป็นต้น

ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์

หลังจากฉีดฟิลเลอร์ มีขั้นตอน การปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ ดังนี้
หลังฉีดฟิลเลอร์ทันที 

  • อาจมีอาการปวด, บวมแดง, ระบม, เขียวช้ำ หรือคันบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการเกา แกะ นวด คลึง 
  • ประคบเย็นตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรกดแรง 
  • ควรรับประทานยาฆ่าเชื้อทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จ 
  • งดเลเซอร์ร้อนที่ผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 เดือน 
  • รอยเข็มฟิลเลอร์สามารถโดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ 

ช่วงกลางคืนหลังฉีดฟิลเลอร์

  • หลังจากฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง อาจมีอาการปวด สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดได้ 
  • ไม่ควรนอนตะแคงใน 2-3 คืนแรกเพื่อป้องกันการกดทับที่บริเวณใบหน้า 
  • ควรนอนในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ 18-23 องศาเซลเซียส 
  • อาจมีอาการบวมเข็มได้ แต่อาการนี้จะหายไปภายใน 7-14 วัน และฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่ 

48 ชั่วโมงหลังจากฉีดฟิลเลอร์ 

  • ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2-3 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์ 
  • สามารถทาครีมทับบริเวณรอยเข็มได้ หรือโดนน้ำได้ปกติ
    ควรงดการนวด ถู สครับ สัมผัสที่ใบหน้าแรง ๆ ไม่ควรยิ้มกว้างเกินไป เพื่อให้ฟิลเลอร์ได้มีเวลาเซ็ตตัว 
  • งดเท้าคาง ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์คาง 
  • หลังฉีดฟิลเลอร์หากรู้สึกว่าฟิลเลอร์เป็นก้อน ห้ามนวด ปั้น หรือคลึงใบหน้า เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปได้

3 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์

  • หลีกเลี่ยงบริเวณใบหน้าไม่ให้ถูกความร้อนโดยตรงจากการอาบน้ำ หรือไดร์เป่าผมร้อน ๆ 
  • ไม่ควรออกกำลังกายหนัก ๆ เพราะอาจจะทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรง 
  • เริ่มขยับใบหน้าได้ตามปกติ แต่ยังไม่ควรกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ 

7-10 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์

  • ไม่ควรประคบร้อน หากยังมีการบวม หรือเขียวช้ำอยู่ 
  • ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดแรงจัด เพราะจะส่งผลต่อการคงตัวของสารที่ฉีด หากต้องเผชิญกับแสงแดดควรทากันแดดที่มีค่าประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA และ UVB สูง เป็นประจำ 

14 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์

  • สามารถขยับใบหน้า ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารได้ตามปกติ 
  • พยายามหลีกเลี่ยงความร้อน 
  • ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ นิ่มลงหลังจาก 2-3 สัปดาห์ ยกเว้นฟิลเลอร์รุ่นที่ฉีดในผิวชั้นลึก อาจจะยังคลำเจอเนื้อฟิลเลอร์ในผิวชั้นลึกได้อยู่

สรุปทุกข้อควรรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ หรือ Filler คือ สารเติมเต็มที่ช่วยแก้ไขปัญหาบนใบหน้า โดยสารที่นิยมใช้คือ สารไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) ไม่ว่าจะฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ลึก โหล ตอบ บนใบหน้าให้ดูสมส่วน หรือช่วยปรับ ยกกระชับใบหน้า รวมไปถึงฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า และริมฝีปาก การเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ ควรเลือกจากฟิลเลอร์ที่ได้รับอย. เท่านั้น ไม่ควรใช้ฟิลเลอร์ปลอมเพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายตามมาได้
นอกเหนือจากนี้ ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และควรเข้าปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งเพื่อประเมินปริมาณการใช้ฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับจุดที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์

6 คำถามฮิต ฟิลเลอร์ใต้ตา !!

ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง ?

รวมสิ่งที่ควรรู้ ก่อนฉีดโบท็อกซ์

โบท็อกซ์ (BOTOX) ช่วยอะไร ฉีดโบท็อกซ์แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน

บอกต่อเรื่องเรื่องสำคัญ ของ โบท็อกซ์

ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร แนวทางแก้ไขและป้องกันมีอะไรบ้าง ?

ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ !

ฟิลเลอร์คาง ทำแล้วหน้าเรียวเหมือนผ่าตัดไหม !

Juve Look เติมเต็มความชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำล้ำลึก !

JUVELOOK คืออะไร มาทำความรู้จัก KOREA SKIN ที่มาแรง !!!

SCULPTRA คือ อะไร ? ช่วยเรื่องอะไร ?

Ultraformer iii กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร ดีไหม ?