ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นการรักษาทางด้านความงาม โดยการฉีดเพื่อลดริ้วรอย แก้ไขปัญหาบนใบหน้า ร่องแก้ม รวมไปถึงฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ผิวหน้าเรียบ อิ่มฟู เต่งตึงขึ้น หรือฉีดบริเวณปากเพื่อให้ริมฝีปากอวบอิ่มขึ้น
ในบทความนี้ จะพาไปทำความรู้จักกับข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ว่า ฟิลเลอร์คืออะไร มีกี่ประเภท บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ยี่ห้อฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง ฟิลเลอร์ราคาเท่าไรต่อ CC ฟิลเลอร์ควรฉีดเท่าไรถึงจะพอดี ขั้นตอนการปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์
- การฉีดฟิลเลอร์ (Filler) คือ การฉีดสารเติมเต็มเข้าสู่ผิวหน้าบริเวณต่าง ๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอย ร่องลึกบริเวณใบหน้าให้ดูเรียบเนียน ผิวดูชุ่มชื้น และเต่งตึงขึ้น
- บริเวณที่มักได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขผิวและปรับรูปหน้า จะได้แก่บริเวณใต้ตา, ปาก, คาง, ร่องแก้ม, จมูก, ขมับ และหน้าผาก
ฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร?
โดยฟิลเลอร์ที่ใช้ในประเทศไทยปัจจุบัน เป็นสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น (Hydration) และทดแทนคอลลาเจน รวมไปถึงไฮยาลูรอนที่ร่างกายสูญเสียไปเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น การฉีดสาร Hyaluronic Acid เข้าสู่ผิวจึงช่วยเติมเต็มชั้นผิวหนังให้มีความยืดหยุ่น เต่งตึง เรียบเนียน ดูสุขภาพดี รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยได้
ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะทำการประเมินปัญหาผิว หรือปัญหาที่ต้องการแก้ไขก่อนการฉีดฟิลเลอร์ทุกครั้ง เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมตามแต่ละบุคคล รวมถึงแนะนำยี่ห้อฟิลเลอร์ และรุ่นฟิลเลอร์ที่ควรใช้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ทั้งนี้ การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ เช่น Botox, Ulthera และ Ultraformer III เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์เพื่ออะไร?
นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ยังสามารถปรับรูปหน้าให้ดูสมมาตร ดูมีสัดส่วนขึ้น เป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังสามารถฉีดฟิลเลอร์มือ เพื่อแก้ปัญหามือแห้ง มือเหี่ยวย่นได้อีกด้วย
“หากฟิลเลอร์สลายหมดจะไม่ทำให้หน้าแก่ลง การฉีดฟิลเลอร์จะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้น คอลลาเจนและอิลาสตินก็จะถูกสร้างขึ้นด้วย หลังฟิลเลอร์สลายหมดผิวก็จะดูสุขภาพดีกว่าตอนยังไม่ได้ฉีดฟิลเลอร์ เพราะคอลลาเจนและอิลาสตินยังคงอยู่ในร่างกาย”
สารเติมเต็มในฟิลเลอร์มีอะไรบ้าง?
Hyaluronic Acid
ฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid มีอยู่ในฟิลเลอร์หลากหลายยี่ห้อ เช่น Juvederm, Restylane, Belotero, Neuramis, Yvoire เป็นต้น
สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับ Hyaluronic Acid สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ : ไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) สารเติมเต็มที่ช่วยให้ผิวอิ่มฟูได้จริงไหม?
Poly-L-lactic acid (PLLA)
Calcium Hydroxyapatite
Polyalkylimide
Polymethyl-methacrylate microspheres (PMMA)
คุณสมบัติต่างๆ ของฟิลเลอร์
- ความแข็ง (Elasticity)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าความแข็งสูงจะเหมาะกับการฉีดเพื่อปรับโครงหน้าในชั้นกระดูก ฉีดยกผิวชั้นลึก มีความทนต่อแรงกดในแนวตั้ง จึงเหมาะแก่การฉีดบริเวณคาง จมูก หรือฉีดเพื่อดึงหน้า ปรับโครงหน้าเป็นต้น
- ความยืดหยุ่น (Resilient)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าความยืดหยุ่นสูงจะทนต่อการขยับ ทนต่อแรงบิดในแนวนอน จึงเหมาะแก่การฉีดผิวบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ เช่น มุมปาก ร่องแก้ม แก้มตอบ
- ความกระจายตัว (Tissue Integration)
ฟิลเลอร์ที่มีความกระจายตัวจะเหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง ผิวบาง เพื่อให้ฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วมีความเรียบเนียนไปกับผิว ไม่เป็นก้อน
- ค่าอุ้มน้ำ (Water Holding)
ฟิลเลอร์ที่มีค่าอุ้มน้ำสูง เมื่อฉีดไปแล้วจะฟูมาก จึงเหมาะกับฉีดบริเวณร่องแก้ม ขมับ ไม่เหมาะกับการฉีดใต้ตา เพราะจะเห็นความบวมได้ชัดเจน
- จำนวนการเชื่อมพันธะ (Crosslink)
ฟิลเลอร์ที่มีจำนวนพันธะเยอะจะอยู่ได้นานขึ้น สลายได้ช้าลง และอุ้มน้ำน้อยลง ฟูน้อยลง มีค่ากระจายตัวปานกลาง ทนต่อแรงบิดแนวนอนได้ดี จึงเหมาะแก่การฉีดบริเวณที่มีการขยับบ่อย ๆ โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ที่เด่นด้านเทคโนโลยี Crosslink คือ ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm
- ขนาดเม็ดของฟิลเลอร์ (Particle size)
ฟิลเลอร์ที่มีขนาดเม็ดฟิลเลอร์ใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้น และมีค่าความแข็งสูง การกระจายตัวต่ำ แต่จะไม่ทนต่อแรงบิดในแนวนอน หากฉีดในตำแหน่งที่มีการขยับบ่อย ๆ จะอยู่ได้ไม่นาน ฟิลเลอร์ที่มีขนาดเม็ดใหญ่จึงเหมาะกับการยกหน้าในผิวชั้นลึกได้ดีที่สุด โดยยี่ห้อฟิลเลอร์ Restylane จะโดดเด่นในเทคโนโลยีด้านนี้ เรียกว่า เทคโนโลยี NASHA เนื่องจากใช้การขดเส้นใยของ HA ร่วมกับการใส่ Crosslink ทำให้ฟิลเลอร์เป็นเม็ดละเอียด เนื้อฟิลเลอร์จึงมีค่าความแข็งสูง เหมาะกับการยกพยุงผิว
เนื้อฟิลเลอร์มีกี่แบบ
- ฟิลเลอร์เนื้อแข็ง
ฟิลเลอร์เนื้อแข็งจะมีลักษณะเนื้อเจลเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่าฟิลเลอร์เนื้อชนิดอื่น ๆ เมื่อบีบออกมาแล้วสามารถเห็นเป็นเส้น จึงทำให้เนื้อฟิลเลอร์มีความแข็งแรง คงตัวได้ดี สามารถใช้ยกผิวในชั้นกระดูกได้
ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อแข็ง เช่น Juvederm , Restylane , Belotero
- ฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม
ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มจะมีลักษณะเป็นเนื้อเจลคล้ายเยลลี่ เนื้อนุ่ม ไม่เป็นก้อน เนื้อไม่เหลว และไม่เป็นน้ำเหมือนฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มเหมาะสำหรับฉีดในชั้นไขมัน
ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เช่น Juvederm Ultra Plus, Restylane Classic, Belotero Balance
- ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด
ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะมีลักษณะเป็นเนื้อเจล มีความบางเบาคล้ายน้ำ เนื้อเหลวมากกว่าฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม เหมาะสำหรับฉีดในผิวชั้นตื้น และเหมาะกับการเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ โดยการฉีดฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้
ตัวอย่างยี่ห้อฟิลเลอร์เนื้อละเอียด เช่น ฟิลเลอร์ Juverderm Volite, Restylane Vital Light, Belotero soft
บริเวณที่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้
ฉีดฟิลเลอร์กี่วันเห็นผล? หลังฉีดฟิลเลอร์สามารถเห็นผลได้ทันที และจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนหลังจากผ่านไป 7-14 วัน การฉีดฟิลเลอร์มีข้อดีคือ ฟิลเลอร์ที่เป็นสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid จะสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสารตกค้างภายในร่างกาย
ฟิลเลอร์ใต้ตา
สำหรับการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้การเติมฟิลเลอร์ใต้ตากี่ cc นั้น ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาของแต่ละบุคคล ก่อนการเข้ารับหัตถการควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ทำการประเมินปัญหาก่อน และหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะสามารถเห็นผลได้ทันที
โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์ใต้ตาจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ รุ่นของฟิลเลอร์ และการดูแลตัวเองหลังฉีด อีกทั้งยังควรเลือกฉีดกับแพทย์ที่มากประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น เพราะผิวใต้ตาเป็นบริเวณที่ละเอียดอ่อนมาก หากแพทย์ขาดความชำนาญ อาจทำให้ฉีดฟิลเลอร์แล้วตาบอดได้
ฟิลเลอร์ปาก
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปากจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะเห็นผลทันที โดยทั่วไปฟิลเลอร์จะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ และการดูแลตัวเองหลังฉีด
ฟิลเลอร์คาง
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์คาง จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยฟิลเลอร์คางอยู่ได้แค่ 1-2 ปี ต่อการฉีด 1 ครั้ง หากไม่มีการมาเติมฟิลเลอร์ เนื้อฟิลเลอร์ก็จะสลายไปเองตามธรรมชาติ
ฟิลเลอร์ร่องแก้ม
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 2 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล โดยฟิลเลอร์ร่องแก้มจะอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน แล้วแต่ยี่ห้อและรุ่นที่เลือก
ฟิลเลอร์จมูก
การฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกเป็นบริเวณที่ต้องอาศัยเทคนิคและความชำนาญการของแพทย์ เนื่องจากมีเส้นเลือดสำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งฟิลเลอร์จมูกยังไม่เหมาะกับคนที่วางแผนจะเสริมจมูกในอนาคต เพราะอาจเกิดปัญหาการยึดเกาะของแท่งซิลิโคนได้ หากฉีดฟิลเลอร์จมูกไปแล้วอยากผ่าตัดเสริมจมูก จะต้องขูดฟิลเลอร์ที่กระดูกจมูกตามแนวที่วางซิลิโคนออกก่อนเพื่อให้ซิลิโคนยึดเกาะจมูกได้ดีมากขึ้น
ฟิลเลอร์ขมับ
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ขมับจะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ตามปัญหาของแต่ละบุคคล โดยฟิลเลอร์ขมับจะอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือก
ฟิลเลอร์หน้าผาก
สำหรับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจมีอาการบวมได้เป็นปกติ แต่จะหายไปเองเมื่อผ่านไปประมาณ 7-14 วัน และฟิลเลอร์หน้าผากสามารถอยู่ได้นาน 12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นที่เลือกใช้
ยี่ห้อฟิลเลอร์ ที่ผ่าน อย. (อัปเดตปีล่าสุด)
Juvederm
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ยี่ห้อ Juvederm ที่ได้รับอย. มีทั้งหมด 7 รุ่น ดังนี้
- Juvederm Ultra Plus XC อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Ultra XC อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Juvederm Voluma อยู่ได้นาน 18-24 เดือน
- Juvederm Volift อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Volite อยู่ได้นานถึง 9-12 เดือน
- Juvederm Volbella อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Juvederm Volux อยู่ได้ประมาณ 18-24 เดือน
Restylane
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ยี่ห้อ Restylane ที่ได้รับอย. มีทั้งหมด 8 รุ่น ดังนี้
- Restylane Perlane Lyft อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Restylane Classic Lidocaine อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Restylane Vital Light อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
- Restylane Vital อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
- Restylane Refyne อยู่ได้ประมาณ 8-12 เดือน
- Restylane Volyme อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
- Restylane Defyne อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
Restylane Kysse อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
Neuramis
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ยี่ห้อ Neuramis มีทั้งหมด 3 รุ่น ที่ผ่านอย. ดังนี้
- Neuramis Deep อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Neuramis Deep Lidocaine อยู่ได้นาน 12 เดือน
- Neuramis Volume Lidocaine อยู่ได้นานสูงสุดถึง 2 ปี
Belotero
ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ยี่ห้อ Belotero ที่ได้รับอย. มีทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน ดังนี้
- Belotero Volume อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
- Belotero Intense อยู่ได้ประมาณ 18 เดือน
- Belotero Balance อยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน
- Belotero Soft อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
e.p.t.q.
ในปัจจุบันฟิลเลอร์ e.p.t.q. ที่ผ่านอย. มีทั้งหมดด้วยกัน 3 รุ่น ดังนี้
- e.p.t.q. S100 อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
- e.p.t.q. S300 อยู่ได้ประมาณ 8 เดือน
- e.p.t.q. S500 อยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
YVOIRE
ในปัจจุบัน ฟิลเลอร์ยี่ห้อ YVOIRE ที่ผ่านอย. ในประเทศไทยมีทั้งหมด 3 รุ่น ดังนี้
- YVOIRE Classic Plus อยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน
- YVOIRE Volume Plus อยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน
- YVOIRE Contour อยู่ได้ประมาณ 9-12 เดือน
ฉีดฟิลเลอร์ที่ไหนดี
- ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลจากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ
- ควรเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ใช้ฟิลเลอร์แท้ สะอาด ปลอดภัย มีเครื่องมือและอุปกรณ์ฉุกเฉินในกรณีที่เกิดปัญหา เช่น การแพ้ยา เป็นต้น
- ควรเลือกแพทย์ประจำคลินิกที่มีใบรองรับมาตรฐานจากแพทยสภา สามารถเช็กประวัติแพทย์ได้ และควรเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังและศัลยกรรมความงาม
- ควรเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ที่มีการติดตามผล และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวก่อนและหลังทำอย่างใกล้ชิด สามารถปรึกษาแพทย์ที่ทำเคสได้
- มีการแสดงอัตราค่ารักษาพยาบาล ค่าหัตถการต่าง ๆ รวมไปถึงราคาฟิลเลอร์ และสามารถสอบถามอัตราค่ารักษาได้
ฉีดฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี ควรเลือกอย่างไร
ในอีกกรณีหนึ่ง แพทย์จะเป็นผู้แนะนำว่าผิวของเราเหมาะกับฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะกับตัวเรา และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด
ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์
ข้อควรปฏิบัติตัว 1 อาทิตย์ก่อนฉีดฟิลเลอร์
- งดยาแอสไพริน NSAIDs เช่น Ibuprofen, Diclofenac, Ponstan
- งดวิตามิน St. Johns Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng, และ Vitamin E เพราะสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดแข็งตัวช้าในระหว่างฉีดฟิลเลอร์ อาจเสี่ยงต่ออาการช้ำหลังฉีด
- งดสกินแคร์ชนิดผลัดเซลล์ผิว เช่น Retinoids, Retinol, Glycolic Acid ประมาณ 3 วันก่อนฉีดฟิลเลอร์บริเวณต่าง ๆ
- งดการผลัดเซลล์ผิว การโกนขน ในบริเวณก่อนการทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์
- หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่รับประทานอื่น ๆ ควรเตรียมข้อมูลเพื่อแจ้งกับแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์
- หากมีคอร์สหัตถการเกี่ยวกับใบหน้า เช่น นวดหน้า เลเซอร์ต่าง ๆ ควรทำมาก่อนการฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 3 วัน
ข้อควรปฏิบัติตัว 24 ชั่วโมง ก่อนฉีดฟิลเลอร์
- ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง ก่อนทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์
- ควรงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เช่น ออกกำลังกายอย่างหนัก การเข้าห้องซาวน่า เป็นต้น
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์
หลังฉีดฟิลเลอร์ทันที
- อาจมีอาการปวด, บวมแดง, ระบม, เขียวช้ำ หรือคันบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการเกา แกะ นวด คลึง
- ประคบเย็นตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรกดแรง
- ควรรับประทานยาฆ่าเชื้อทันทีหลังฉีดฟิลเลอร์เสร็จ
- งดเลเซอร์ร้อนที่ผิวชั้นลึก อย่างน้อย 1 เดือน
- รอยเข็มฟิลเลอร์สามารถโดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ
ช่วงกลางคืนหลังฉีดฟิลเลอร์
- หลังจากฉีดฟิลเลอร์ 24 ชั่วโมง อาจมีอาการปวด สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดได้
- ไม่ควรนอนตะแคงใน 2-3 คืนแรกเพื่อป้องกันการกดทับที่บริเวณใบหน้า
- ควรนอนในห้องที่มีอุณหภูมิประมาณ 18-23 องศาเซลเซียส
- อาจมีอาการบวมเข็มได้ แต่อาการนี้จะหายไปภายใน 7-14 วัน และฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่
48 ชั่วโมงหลังจากฉีดฟิลเลอร์
- ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2-3 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์
- สามารถทาครีมทับบริเวณรอยเข็มได้ หรือโดนน้ำได้ปกติ
ควรงดการนวด ถู สครับ สัมผัสที่ใบหน้าแรง ๆ ไม่ควรยิ้มกว้างเกินไป เพื่อให้ฟิลเลอร์ได้มีเวลาเซ็ตตัว - งดเท้าคาง ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์คาง
- หลังฉีดฟิลเลอร์หากรู้สึกว่าฟิลเลอร์เป็นก้อน ห้ามนวด ปั้น หรือคลึงใบหน้า เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปได้
3 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงบริเวณใบหน้าไม่ให้ถูกความร้อนโดยตรงจากการอาบน้ำ หรือไดร์เป่าผมร้อน ๆ
- ไม่ควรออกกำลังกายหนัก ๆ เพราะอาจจะทำให้ฟิลเลอร์เสียรูปทรงจากการเคลื่อนไหวที่รุนแรง
- เริ่มขยับใบหน้าได้ตามปกติ แต่ยังไม่ควรกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์
7-10 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์
- ไม่ควรประคบร้อน หากยังมีการบวม หรือเขียวช้ำอยู่
- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดแรงจัด เพราะจะส่งผลต่อการคงตัวของสารที่ฉีด หากต้องเผชิญกับแสงแดดควรทากันแดดที่มีค่าประสิทธิภาพป้องกันรังสี UVA และ UVB สูง เป็นประจำ
14 วันหลังจากฉีดฟิลเลอร์
- สามารถขยับใบหน้า ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารได้ตามปกติ
- พยายามหลีกเลี่ยงความร้อน
- ฟิลเลอร์จะค่อย ๆ นิ่มลงหลังจาก 2-3 สัปดาห์ ยกเว้นฟิลเลอร์รุ่นที่ฉีดในผิวชั้นลึก อาจจะยังคลำเจอเนื้อฟิลเลอร์ในผิวชั้นลึกได้อยู่
สรุปทุกข้อควรรู้เกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์
นอกเหนือจากนี้ ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ควรเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน และควรเข้าปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งเพื่อประเมินปริมาณการใช้ฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับจุดที่ต้องการฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง ?
รวมสิ่งที่ควรรู้ ก่อนฉีดโบท็อกซ์
โบท็อกซ์ (BOTOX) ช่วยอะไร ฉีดโบท็อกซ์แล้วอยู่ได้นานแค่ไหน
บอกต่อเรื่องเรื่องสำคัญ ของ โบท็อกซ์
ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไร แนวทางแก้ไขและป้องกันมีอะไรบ้าง ?
ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ขมับ !
ฟิลเลอร์คาง ทำแล้วหน้าเรียวเหมือนผ่าตัดไหม !
Juve Look เติมเต็มความชุ่มชื้น ผิวอิ่มน้ำล้ำลึก !
JUVELOOK คืออะไร มาทำความรู้จัก KOREA SKIN ที่มาแรง !!!
SCULPTRA คือ อะไร ? ช่วยเรื่องอะไร ?
Ultraformer iii กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร ดีไหม ?