ฉีดฟิลเลอร์ปากนอนตะแคงได้ไหม? เป็นคำถามง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนกำลังสงสัยกันอย่างแน่นอนค่ะ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าแม้ “ท่านอน” จะดูเป็นเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อการฉีดฟิลเลอร์ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราควรละเลยค่ะ เพราะท่านอนบางท่าอาจส่งผลต่อรูปปากหลังการฉีดเลยก็ได้นั่นเอง
ฉีดฟิลเลอร์ปากนอนตะแคงได้ไหม ดูแลตนเองยังไงให้ผลลัพธ์หลังการฉีดอยู่กับเราได้นานขึ้น?
การฉีด ฟิลเลอร์ปาก เป็นหัตถการเสริมความงามอีกรูปแบบหนึ่งที่สาว ๆ นิยมเลือกใช้กันค่ะ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นริมฝีปากก็เริ่มมีริ้วรอย เวลาทาลิปสติกก็มักจะตกตามร่องปาก ทำให้ดูไม่สวยงาม หรือปัญหารูปปากที่บางเกินไป ดูแล้วไม่อวบอิ่มก็อาจจะทำลายความมั่นใจของสาวๆ หลายคนได้ แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปทันที เพราะการฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถแก้ไขปัญหาในจุดนี้ได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องผลลัพธ์หลังการฉีดฟิลเลอร์ที่ทุกคนควรทราบแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือการดูแลตัวเองเพื่อคงสภาพของผลลัพธ์ให้อยู่กับเราได้นานขึ้น โดยเฉพาะเรื่องท่านอนที่เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า หลังฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถนอนตะแคงได้ไหม หากนอนแล้วจะทำให้ฟิลเลอร์ไหลหรือเปล่า
ฉีดฟิลเลอร์ปากคืออะไร?
ฟิลเลอร์ปากคือการทำหัตถการชนิดหนึ่งที่ใช้วิธีการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ริมฝีปาก และยังช่วยปรับรูปปากให้สวยงาม มีความอวบอิ่มมากยิ่งขึ้น
ปกติแล้ว “ฉีดฟิลเลอร์ปาก” อันตรายหรือไม่?
หลายคนมักจะเข้าใจว่า “การนำฟิลเลอร์มาฉีดปากอันตรายมากเพราะอาจจะทำให้ปากเน่า” แต่ความจริงแล้วการฉีดฟิลเลอร์ปากนั้นไม่เป็นอันตราย เนื่องจากฟิลเลอร์ที่นิยมนำมาฉีดนั้นเป็นฟิลเลอร์แท้ที่มีส่วนประกอบของสาร Hyaluronic acid ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ไม่ทิ้งสิ่งตกค้างหรือกลายเป็นก้อน เหมือนซิลิโคนเหลว (ฟิลเลอร์ปลอม) ดังนั้นคนไข้สามารถสบายใจได้ในเรื่องความปลอดภัย
ไขข้อสงสัย หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก นอนตะแคง ได้ไหม?
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ติดการนอนคว่ำหน้าหรือนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน อาจจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนสักนิดนึงนะคะ นอกจากจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากกว่าปกติ ส่งผลให้คนไข้หายใจไม่สะดวกและก่อให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อคออักเสบในระยะยาวแล้ว ยังมีผลทำให้ฟิลเลอร์ถูกกดทับเป็นเวลานานจนฟิลเลอร์ผิดรูป ต้องมานั่งแก้ภายหลังด้วยนะคะ โดยเฉพาะฟิลเลอร์จมูกและคางที่เสี่ยงต่อการถูกกดทับง่ายเป็นพิเศษ สำหรับท่านอนที่ดีที่สุดคือท่านอนหงายค่ะ โดยให้หมอน 2 ใบหนุนให้หัวสูงกว่าหน้าอก ทั้งนี้ควรนอนหงายอย่างน้อย 3 วันแรกหลังการรักษา และนอนหงายอย่างน้อย 1-3 เดือน เพื่อให้สเต็มเซลล์ไขมันติดดีก่อนค่อยเปลี่ยนท่านอนได้
ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ปากข้ออื่น ๆ ที่สาว ๆ ควรทราบ
แม้จะเป็นเพียงการฉีดปากที่เป็นหัตถการเล็ก ๆ ดูไม่ซับซ้อนอะไร แต่ก็ต้องได้รับการดูแลที่ถูกต้องเช่นกันค่ะ ซึ่งนอกจากการนอนตะแคงแล้วก็มีอีกหลาย ๆ อย่างที่ควรระวัง ดังนี้
1. ห้ามสัมผัสบริเวณที่ฉีด
เมื่อครบ 1 ชั่วโมงหลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้ว ให้คนไข้แกะพลาสเตอร์ปิดแผลออกได้ คนไข้ควรงดสัมผัสผิวบริเวณที่ฉีดโดยไม่จำเป็น หากจำเป็นจริง ๆ ควรสัมผัสให้เบาที่สุด ทั้งนี้หลายคนอาจเคยชินกับการนวดคลึงบริเวณที่ปวดบวม แต่สำหรับการฉีดฟิลเลอร์นั้นไม่จำเป็นต้องนวดคลึงผิวเลยค่ะ เพราะถ้าหากคุณสัมผัสบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป นอกจากจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งหรือมีลักษณะผิดรูปไปจากเดิมแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวง่ายขึ้นด้วย
สำหรับสาว ๆ คนไหนที่มีคำถามว่าฉีดฟิลเลอร์แล้วแต่งหน้าได้มั้ย หมอโบขอบอกตรงนี้เลยว่าได้แน่นอน เพียงแต่หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าบริเวณที่ฉีดเพียงจุดเดียวเท่านั้นค่ะ ส่วนใครที่สงสัยว่าจะล้างหน้าได้มั้ย หมอโบก็ขอบอกตรงนี้ไว้เหมือนกันว่าได้อีกเช่นกันค่ะ เพียงแต่ควรล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสูตรอ่อนและไม่ควรให้รอยเข็มโดนน้ำนานเกิน 15 นาที เพื่อป้องกันการติดเชื้อนั่นเอง
2.ห้ามสูบบุหรี่
ถึงเวลาที่สายสูบควรได้พักปอดบ้างนะคะ รู้หรือไม่ว่าสารพิษหลายชนิดในบุหรี่มีผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด ส่งผลให้อาการปวดบวมบริเวณที่ฉีดหายช้าลงและลดประสิทธิภาพของฟิลเลอร์ให้เหลือน้อยลงด้วยนะคะ นอกจากนี้ยังมีผลต่อผิวซึ่งมีส่วนประกอบของคอลลาเจน หากร่างกายได้รับสารพิษจากบุหรี่เป็นเวลานาน อาจทำให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้ผิวเสียง่ายแต่ฟื้นฟูยากอีกด้วย
3. ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากสายสูบแล้ว สายดื่มก็ควรต้องงดไปก่อนด้วยเช่นกันค่ะ เพราะแอลกอฮอล์มีผลต่อการสูบฉีดของเลือดนะคะ เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายจะไปกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้รู้สึกปวดบวมบริเวณที่ฉีดมากขึ้น ทางที่ดีควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ แต่หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อย อาจไม่มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือดมากนัก แต่หากเผลอลืมตัว ดื่มหนักเข้าไป แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าตามเข้าไปให้ได้ 3-4 ลิตร (12 แก้ว) เพื่อเติมน้ำที่สูญเสียไปจากฤทธิ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั่นเอง
4. งดอาหารบางประเภท
ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสจัดหรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบก็ตาม หมอโบขอห้ามไม่ให้คุณรับประทานก่อนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาหารรสจัดส่วนใหญ่อย่างส้มตำและต้มยำมีส่วนผสมของโซเดียม เป็นเหตุทำให้เกิดภาวะบวมน้ำ (Edema) กระตุ้นให้เกิดอาการปวดบวมบริเวณที่ฉีดหนักกว่าเดิม ส่วนอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบอย่างปลาร้า หรืออาหารทะเลนั้น หมอโบก็แนะนำให้งดไปก่อนด้วยเช่นกันค่ะ เพราะอาหารเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการปรุงสุกมาก่อน อีกทั้งช่วงเวลาหลังฉีดฟิลเลอร์เป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอง่ายกว่าคนทั่วไป จึงเสี่ยงต่อจะติดเชื้อและป่วยง่ายมากขึ้น
5. ห้ามเครียดมากเกินไป
ในปัจจุบันมีพฤติกรรมเสี่ยงหลายอย่างที่ทำให้ใครหลายคนมีภาวะเครียดง่าย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานภายใต้ความกดดัน, การนอนพักผ่อนน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ, การบริหารจัดการกับความเครียดได้ไม่ดีเท่าที่ควร เป็นเหตุทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) น้อยหรือมากเกินไป เป็นเหตุทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานไม่เต็มที่ เกิดภาวะผิวช้ำง่ายหรือเป็นแผลง่าย นอกจากนี้ยังมีผลทำให้อายุการใช้งานของฟิลเลอร์น้อยลงด้วย
6. ห้ามออกกำลังกายหักโหม
หากคุณเสพติดการออกกำลังกายหนัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นสายออกกำลังกายที่บ้าน หรือเล่นกีฬาระดับมืออาชีพก็ตาม หมอโบแนะนำให้คุณพักไปก่อนในช่วง 2 วันแรก เนื่องจากการออกแรงที่มากเกินไป มีผลทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวหลุดไปจากแผนการรักษาของแพทย์ อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของเลือดที่มากขึ้น เป็นเหตุทำให้อาการปวดบวมรุนแรงขึ้นด้วยนั่นเอง
7. ห้ามโดนความร้อน
รู้ไหมคะว่าความร้อนมีผลต่อฟิลเลอร์โดยตรง โดยเฉพาะ 2 สัปดาห์แรก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าห้องซาวน่า, การเลเซอร์ร้อน การทำทรีตเมนท์ก็ตาม หรือแม้กระทั่งการอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงแดดเป็นเวลานาน เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ การสัมผัสความร้อนเป็นเวลานานอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวผิดตำแหน่ง อีกทั้งไปลดอายุการใช้งานของฟิลเลอร์ให้น้อยลงอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายผลิตเม็ดผิวหนัง
ซึ่งนี่เป็นข้อห้ามเบื้องต้นที่ผู้สนใจในการฉีดฟิลเลอร์ปากต้องทำการศึกษาไว้เพื่อที่จะได้ดูแลตนเองอย่างถูกต้องมากที่สุด
ดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์อย่างไรบ้าง ให้ผลลัพธ์อยู่กับเราได้นานขึ้น?
สำหรับขั้นตอนการดูแลตนเองนั้น ทุกคนสามารถทำตามได้ตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้…
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) เป็นประจำทุก 4 ชั่วโมง หลังจากฉีดฟิลเลอร์ ทั้งนี้สามารถทานยาแก้ปวดกลุ่มอื่นร่วมด้วยได้หากได้รับคำแนะนำจากคุณหมอที่ทำการรักษา ไม่ว่าจะเป็นไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), อาร์โคเซีย (Arcoxia) ฯลฯ
- เลือกรับประทานอาหาร สำหรับอาหารที่เหมาะกับคนไข้จะเป็นอาหารปรุงสุกที่ผ่านการฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยความร้อน ปลอดภัยจากเชื้อโรค รวมถึงเลือกรับประทานอารที่มีส่วนประกอบของวิตามิน A และ C อย่างเช่น สตรอว์เบอร์รี กีวี่ สัปปะรด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูบาดแผลบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ได้เป็นอย่างดีค่ะ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน สำหรับช่วงเวลาเข้านอนที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่เข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ คือเวลา 20:30-22:00 น. ส่วนเวลาตื่นนอนที่เหมาะที่สุดคือเวลา 05:30-7:00 น. เป็นเวลาที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ช่วยให้แผลฉีดหายไว ฟิลเลอร์เข้าที่ง่ายขึ้น
- ดื่มน้ำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร เนื่องจากน้ำจะช่วยเติมโมเลกุลของฟิลเลอร์ที่หายไปในแต่ละวัน อีกทั้งช่วยสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิวด้วย
สรุปข้อควรรู้เกี่ยวกับ “การนอนตะแคงหลังฉีดฟิลเลอร์”
การฉีดฟิลเลอร์ปาก เป็นหัตถการที่กำลังได้รับความนิยมและมาแรงที่สุดในช่วงนี้ เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก จะช่วยให้ปากดูอวบอิ่ม และได้รูปทรงตามที่ต้องการ ซึ่งผลลัพธ์จะสามารถเป็นไปตามที่คาดหวังและคงสภาพได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองของเราด้วย
โดยนอกจากการระมัดระวังในเรื่องของท่านอนแล้ว หนึ่งทริคที่สามารถช่วยได้คือในช่วง 3-4 วันแรก แนะนำให้นอนหนุนหมอนที่ศีรษะอย่างน้อย 2 ใบ เพื่อให้ศีรษะอยู่เหนือกว่าระดับอก และควรหากหมอนข้างมากั้นไว้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา แต่โดยทั่วไป สามารถนอนได้ปกติทุกท่าอย่างปลอดภัยค่ะ
“Belotero” ฟิลเลอร์ตัวท็อปจากสวิตเซอร์แลนด์
ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง ?
ควรรู้อะไรบ้างก่อนฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
13 เรื่องน่ารู้ฉีดก่อนฟิลเลอร์ร่องแก้ม แก้ไขริ้วรอยร่องแก้มได้ทุกกรณีจริงหรือเปล่า ?
ถาม – ตอบ เรื่องโบท็อกซ์ !!!
รวมสิ่งที่ควรรู้ ก่อนฉีดโบท็อกซ์
บอกต่อเรื่องเรื่องสำคัญ ของ โบท็อกซ์
ทำความรู้จัก “โบท็อกซ์” หัตถการที่เป็นมากกว่าการเสริมความงาม
โบท็อกซ์คืออะไร ข้อดี-เสีย ของการฉีดโบท็อกซ์
โบท็อกซ์คืออะไร ทำไมต้องฉีดโบท็อกซ์ ?
Ultraformer iii กับ Ulthera ต่างกันอย่างไร ดีไหม ?
Ultraformer III กกระชับผิวหน้าและสลายไขมันใต้ชั้นผิว
อายุเท่าไหร่ควรเริ่มฉีด Botox !?
รู้ก่อนฉีด ฟิลเลอร์คืออะไร ฉีดตรงไหนได้บ้าง ?